สวยนอก แกร่งใน
“ไทร่า ลิธิบี”
ขึ้นแท่นทีมชาติเพราะใจที่ไม่ยอมแพ้
คอลัมน์ : เปิดตัวทีมชาติ 2564
สวยนอก แกร่งใน
“ไทร่า ลิธิบี”
ขึ้นแท่นทีมชาติเพราะใจที่ไม่ยอมแพ้
การเตรียมตัวดี มีชัยไปกว่าครึ่ง ถือเป็นกลยุทธิ์ที่ดีที่ทำให้การจัดการกับสิ่งต่างๆได้ง่าย และประสบความสำเร็จได้รวดเร็วขึ้น… โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเล่นกีฬาเทนนิส ซึ่งการเตรียมตัว เตรียมพร้อมก่อนลงสนามแข่งขัน การวางแผนการเล่นที่ดีให้ตัวเองก็ย่อมนำมาซึ่งโอกาสในการคว้าชัยชนะ
แต่สำหรับ “ทีที” ไทร่า ลิธิบี นักเทนนิสลูกครึ่งไทย-อังกฤษ วัย 14 ปีเศษ “การเตรียมตัว” ก่อนการแข่งขันนั้นยังไม่เพียงพอที่จะพาก้าวสู่ความสำเร็จ เพราะเธอมีมากกว่านั้น… นั่นคือ…ทุกครั้งที่จะลงสนามแข่งขันเธอจะพก “หัวใจที่ไม่ยอมแพ้” ไปด้วยทุกครั้ง ยิ่งการได้เจอกับคู่แข่งที่เหนือกว่า ทั้งอายุ ฝีมือ และ ประสบการณ์ จะยิ่งต้องไม่กลัว และไม่คิดว่าจะต้องแพ้ ไทร่า คิดเสมอว่า คู่แข่งที่แข็งแกร่งกว่าจะฝึกให้เธอมีความแกร่ง กล้า และ เก่ง ยิ่งขึ้นในอนาคต
“ทีที” หรือ ไทร่า ลิธิบี ลูกครึ่งไทย – อังกฤษที่ถือ 2 สัญชาติ คือ ไทย และ บริติช เกิดวันที่ 30 ตุลาคม 2549 เป็นลูกคนเดียวของคุณพ่อ เจมส์ ลิธิบี กับคุณแม่ สาวิตรี อรชุน ปัจจุบันศึกษาอยู่ที่โรงเรียนแฮร์โรว์อินเตอร์เนชั่นแนล สคูล เริ่มต้นเล่นกีฬาเทนนิสมาตั้งแต่อายุ 7 ขวบ โดยมี “โค้ชเจ” (ณัฐวัฒน์ ศุภกิจ อดีตเยาวชนทีมชาติไทย และอดีต นักเทนนิสอันดับ 7 ของประเทศไทย) เป็นผู้ฝึกสอนให้
“ก่อนหน้าจะเล่นกีฬาเทนนิส ทีที เล่นกีฬาอื่น อย่าง ว่ายน้ำ, กรีฑา, ทีบอล, เบสบอล ซึ่งที่เด่นๆจนสามารถเป็นนักกีฬาของทีมโรงเรียน ก็คือ ว่ายน้ำ และที่มาของการเริ่มฝึกเทนนิสเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งกีฬาคือทางอังกฤษชื่นชอบเทนนิสมาก และครอบครัวทางคุณพ่อ ก็คือ คุณปู่ของทีที ตอนเด็กก็เคยเป็นนักกีฬาเทนนิสของโรงเรียน ประกอบกับปัจจุบันเป็นโลกของโซเชียลนั้นเข้ามาใกล้ตัวเรามาก อาจทำให้การทำกิจกรรมข้างนอก หรือในเชิงปฏิบัติ อาจน้อยลง แม่ก็เลยคิดหากิจกรรมให้ทีที ใช้เวลาให้เป็นประโยชน์กับตัวเอง และจะนำมาซึ่งความสำเร็จด้านอื่นๆ ด้วย” คุณแม่สาวิตรี กล่าว ไทร่า มีพัฒนาการในด้านกีฬาว่ายน้ำที่ดีเยี่ยม สามารถเป็นตัวแทนทีมโรงเรียนไปแข่งขัน ทั้งในและต่างประเทศ สร้างชื่อเสียงให้โรงเรียนและนำมาซึ่งความภาคภูมิใจให้ตัวเองและพ่อแม่ได้อย่างมาก
“ว่ายน้ำมาได้ถึงช่วงหนึ่งแม่เริ่มมองหากีฬาใหม่ๆเพิ่มให้ลูก เพราะเขายังเด็กมีเวลา มีโอกาสฝึกได้หลายอย่างจนกว่าจะชอบ หาตัวเองเจอ และเราคือผู้สนับสนุนในช่วงนั้นเขาเริ่มซ้อมว่ายน้ำหนักขึ้นเพราะพอเริ่มโตต้องว่ายระยะมากขึ้น ต้องถามตัวเองว่าเลือกทางนี้ใช่มั้ย เพราะถ้าทำต้องเต็มที่ ให้เวลากับสิ่งนี้ ทุ่มเทถ้าอยากประสบความสำเร็จ อาจมีวันนึงต้องเลือก ที่ชอบที่สุด ประกอบกับญาติๆทางฝั่งคุณพ่อที่อังกฤษเขาก็สนับสนุนและแนะนำให้เล่นกีฬาเทนนิส ก็ลองมาถามลูกตอนแรกเขาก็บอกว่าไม่เอา ไม่อยากเล่น ชอบว่ายน้ำ ความเป็นเด็กพูดกลับไปกลับมา แต่คุณแม่ก็ได้ลองพาไปที่สนาม ตอนนั้นไปแบบไม่รู้อะไรเลย แร็กเกตก็ยังไม่มี เจอโค้ชเจ ก็ใช้แร็กเกตโค้ชให้ลูกลองเล่นดู โค้ชเจให้เล่นด้วยประมาณ 1 ชั่วโมง ทีที ติดใจชอบเทนนิสก็เลยตัดสินใจให้ลูกเล่นและไปซื้ออุปกรณ์กันเลย”
“ตอนให้ลูกเรียนเทนนิส คิดแค่เพียงว่า อยากให้ลูกได้เล่นกีฬา ออกกำลังกาย ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ และอีกหลายข้อดีของการเล่นกีฬาทั้งว่ายน้ำ ช่วยเรื่องสมาธิ และเทนนิสก็ทำให้เขามีความรับผิดชอบมากขึ้น มีวินัย อดทน เป็นนักสู้ ด้วยการถูกสอนทางอ้อมจากการเล่นกีฬา ก้าวเป็นนักกีฬาที่ดี ซึ่งจะเพิ่มทักษะและการเรียนรู้ สร้างเสริมบุคลิกภาพของลูกได้ดีขึ้น โดยยังไม่ได้มองไปถึงการเล่นเป็นอาชีพ หรือ ติดทีมชาติอะไรเลย”
ไทร่า เรียนรู้พื้นฐานและเทคนิคการเล่นกีฬาเทนนิส ควบคู่ไปกับกีฬาว่ายน้ำจนมาถึงวันที่ต้องเลือก เพราะ ด้วยเหตุผลที่ว่า การเป็นสมาชิกของทั้ง2 ทีมว่ายน้ำและทีมเทนนิส ของโรงเรียน ตารางการซ้อม การแข่งขันทั้ง 2 กีฬาเวลาก็อยู่ในช่วงตรงกัน
“เทนนิสเล่นสนุกกว่าว่ายน้ำ หนูชอบ และอยากทำให้ดีที่สุดกับการเล่นเทนนิสค่ะ หนูเลยเลือกมาทางเทนนิส”ไทร่า กล่าว
ในช่วงแรกของการเล่นเทนนิส ไทร่า มีโอกาสลงแข่งขันแต่เป็นรายการแข่งของทางโรงเรียน ซึ่งเป็นรายการแข่งขันระหว่างโรงเรียนนานาชาติเป็นส่วนใหญ่ โอกาสจะได้ออกมาแข่งรายการอื่นๆสนามแข่งขันที่เหล่านักเทน นิสรุ่นเดียวกันจากทั่วประเทศลงแข่งขันมีน้อยมาก
“แม่จะไม่พยายามกดดันลูกทุกอย่างให้เป็นไปตามเลเวล ตามจังหวะเวลาของมัน เพราะฉะนั้นแม่จะเน้นให้ลูกเล่นเทนนิสอย่างมีความสุขและสนุกกับกีฬา พัฒนาความสามารถไปตามลำดับเวลา วุฒิภาวะ และความสามารถของเขา เพราะฉะนั้นจึงไม่ได้ผลักดันให้เขาต้องออกแข่งขันอะไรมากไปกว่าการลงแข่งให้โรงเรียน ซึ่งเขาก็มีกิจกรรมแข่งเป็นประจำอยู่แล้ว”
กระทั่งมาถึงช่วงวัย 10 ขวบ ไทร่า มีโอกาสลงแข่งขันรายการนอกสนามแข่งของโรงเรียน เพื่อเพิ่มทักษะและหาประสบการณ์ให้ตัวเองมากขึ้น โดยเฉพาะช่วงปิดภาคเรียนที่ได้มีโอกาสไปแข่งต่างจังหวัด ก่อนที่จะมีโอกาสได้เข้าร่วมการคัดตัวนักเทนนิสเยาวชนทีมชาติทั้งรุ่น 12 ปีและรุ่น 14 ปี แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ไทร่า ไม่สามารถผ่านด่านเข้าเป็นส่วนหนึ่งของทีมชาติได้ทั้ง 2 รุ่น
“ตอนนั้นทั้ง 2 รุ่นเลยที่คัดไม่ติดหนูก็ไม่ได้รู้สึกอะไรไม่ได้เสียใจเพราะแม่ก็บอกเสมอว่าถ้าเราทำเต็มที่และดีที่สุดแล้วอย่าได้เสียใจกับสิ่งที่ผ่านไปแล้วแต่ให้เรียนรู้ที่จะพัฒนาตัวเองต่อไป มองไปข้างหน้า และทำให้เต็มที่กับโอกาสที่จะมาถึงอีกก็พอ”
และโอกาสของ ไทร่า ก็มาถึงในปี 2562 สามารถคว้าแชมป์รุ่นอายุไม่เกิน 14 ปีในรายการ “เลกซัส โอเพ่น” ที่สหราชอาณาจักร ก่อนจะสามารถคว้ารองแชมป์ในการแข่งขันเทนนิสเยาวชนรายการ ”พีทีที เอเชียน โฟร์ทีน แอนด์ อันเดอร์ 2019” เก็บคะแนนสะสมรุ่นไม่เกิน 14 ปี
ปี 2563 ไทร่า ยังคงสร้างผลงานผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศ ศึกเทนนิสเยาวชนนานาชาติ “แอลทีเอที ไอทีเอฟ เกรด 5” เก็บคะแนนสะสมเยาวชนโลก ของสหพันธ์เทนนิสนานาชาติ (ITF) ในประเภทหญิงเดี่ยวได้ถึง 3 สนาม และสามารถคว้าแชมป์หญิงคู่มาครองได้อีกถึง 2 สนามด้วยกัน
จากผลงานดังกล่าวทำให้ ไทร่า มีความมุ่งมั่นและเริ่มมั่นใจในฟอร์มการเล่นและความสามารถของตัวเองอย่างมาก แต่ทุกอย่างก็มาสะดุดและเริ่มลดความมั่นใจให้ตัวเธอลงอย่างมาก หลังจากมาพลาดท่าปราชัยให้นักหวดรุ่นพี่ในศึกเทนนิสอาชีพ รายการ “ไทยแลนด์ แชมเปี้ยนชิพ 2021” 2 สนามติด
“ตอนนั้นเขาเสียความมั่นใจไปพอสมควร ความที่ยังเป็นเด็กแม่เองก็พยายามบอกเขาว่าเป็นเรื่องปกติที่เราจะแพ้รุ่นพี่ที่ประสบการณ์เหนือกว่า เราควรจะดีใจที่ได้เรียนรู้ประสบการณ์ เรียนรู้เทคนิคใหม่ๆและการเล่นที่หลากหลายจากรุ่นพี่เพื่อมาพัฒนาตัวเอง ตอนนั้นก็คุยกับเขาและพาเขาไปพักผ่อน ไปรีเซ็ตปรับอารมณ์ความรู้สึกและปรับสภาพจิตใจใหม่ ใช้เวลารีเซ็ตประมาณ 1 สัปดาห์ก็กลับมาฝึกซ้อม และลุยกับเทนนิสกันต่อ”
ไทร่า กลับมาลงแข่งขันเทนนิสอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้เป็นรายการ”คัดตัวทีมชาติ”รุ่นอายุไม่เกิน 16 ปี อีกหนึ่งสนามแข่งขันที่สำคัญที่เธอจะได้กลับมาพิสูจน์ความสามารถของตัวเองอีกครั้ง และมากไปกว่านั้นคือ ครั้งนี้ สาวนักหวดลูกครึ่งไทย-อังกฤษ กลับมาพร้อมกับเป้าหมายที่ชัดเจนกว่าเดิม นั่นคือ “ต้องติดทีมชาติ”ให้ได้
“จากผลงานในปีที่แล้วทำให้หนูประเมินตัวเองแล้วว่าเราสามารถที่จะพัฒนาต่อไปได้อีกและเราก็มีความสามารถพอที่จะเป็นตัวแทนทีมชาติได้ ทำให้หนูมีความหวังและอยากจะติดทีมชาติ ในครั้งนี้หนูก็เลยตัวเตรียมมาค่อนข้างมาก ฝึกซ้อมหนัก ตั้งใจเต็มที่” งานหนักของไทร่าอยู่ที่รอบรองชนะเลิศ ที่จะต้องตัดเชือกกับ มือวาง 1 วิจิตราภรณ์ วิมุกตานนท์ เธอต้องเตรียมพร้อมอย่างหนักในช่วงก่อนลงสนามแข่งขัน วางแผนการเล่นให้ตัวเองอย่างรอบคอบแต่ไม่ตื่นตระหนก โดยมีโค้ชเจ และ พี่โอม (นวกานต์ ขุนจันทร์ อดีตเยาวชนทีมชาติไทย และอดีตเยาวชนโลกอันดับ 60) ที่มาเป็น โค้ชผู้ช่วยสอนและเป็น Hitting Partner ช่วยดูแล และลงสนามแข่งขันในฐานะมือรองที่ไม่มีอะไรจะเสีย พร้อมสู้ทุกสถานการณ์ และ ไม่หวั่นหากจะต้องพบกับความพ่ายแพ้
“หนูคิดว่าการได้เจอกับคู่แข่งที่เก่งเป็นโอกาสที่ดีของตัวเอง หนูไม่กลัวที่จะเจอคนเก่ง หนูพร้อมจะสู้เต็มที่ เพราะถ้าเรากลัวตั้งแต่ยังไม่เริ่มแข่งก็เหมือนกับเรายอมแพ้ตั้งแต่ยังไม่ลงสนาม เพราะฉะนั้น ตราบใดที่ยังไม่จบแมตช์ทุกอย่างก็เกิดขึ้นได้ ขอเพียงเราไม่ยอมแพ้ และสู้ให้สุดกำลังความสามารถ เราก็ยังมีโอกาสชนะได้เสมอ แต่ถ้าสู้ไม่ได้จริงๆเราก็จะได้ยอมรับความพ่ายแพ้อย่างภาคภูมิใจ และเก็บประสบการณ์มาพัฒนาตัวเอง แก้ไขจุดบกพร่องของตัวเองเพื่อไปทำให้ดีขึ้นในรายการต่อๆไป”
การเตรียมตัวดี กับพลังใจที่เป็นบวก และความมุ่งมั่น เหมือนปิดประตูแพ้ให้ตัวเอง
ในวันนั้น ไทร่า สามารถล้มมือวาง 1 และผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศ พร้อมกับคว้าโควต้าการเป็น “นักกีฬาเทนนิสเยาวชนทีมชาติ” สานฝันของตัวเองให้เป็นจริงขึ้นมาได้
“ดีใจและภูมิใจมากกับการติดทีมชาติครั้งนี้ หนูคิดว่าความสำเร็จครั้งนี้มาจากการที่หนูไม่ยอมแพ้ หนูคิดเสมอว่าเทนนิสแม้จะมีคู่ต่อสู้อยู่อีกฝั่งก็จริง แต่เราไม่ได้แข่งกับคู่แข่งคนนั้นคนเดียว เรายังต้องแข่งกับตัวเองอีกด้วย เพราะฉะนั้นการทำให้ดีที่สุดก็เหมือนกับการพิสูจน์ตัวเองแข่งกับใจของตัวเอง ไม่ให้ยอมแพ้อะไรง่ายๆ ทุกแต้ม ทุกเกม และทุกชอตที่เราตีบอลออกไปล้วนมีความหมายหมดทั้งสิ้น โอกาสเรามีไม่เยอะเพราะฉะนั้นในแต่ละแมตช์หนูก็จะเต็มที่ เล่นเหมือนเราไม่มีอะไรจะเสีย สู้ให้สุดๆแล้วความสำเร็จก็จะเกิดขึ้นเอง”
นักเทนนิสที่เป็นไอดอลของ ไทร่า นอกจาก เซรีน่า วิลเลี่ยมส์ นักเทนนิสดีกรีมือ 1 ของโลกชาวอเมริกัน ด้วยความเป็นนักเทนนิสที่เล่นได้ดุดัน มีความเป็นนักสู้สูง มีความแข็งแกร่ง มีจิตใจที่เข็มแข็ง และเล่นสไตล์บุกเหมือนกับตัวเธอแล้ว ก็ยังมี “โครี่ เกาฟ์” นักเทนนิสชาวอเมริกันวัย 17 ปี
“โครี่ มีความเป็นนักสู้สูงมาก หนูชอบเพราะเขาสามารถสู้กับนักเทนนิสรุ่นใหญ่ได้อย่างเข็มแข็ง ประสบความสำเร็จขึ้นมาเล่นในระดับโปรได้ตั้งแต่อายุยังน้อย แสดงให้เห็นว่าต้องผ่านการฝึกซ้อมมาอย่างหนักและจิตใจต้องเข็มแข็งมากๆด้วย”
ส่วนอนาคตหลังจากนี้ ไทร่า บอกว่า ความอยากจะเป็นนักเทนนิสอาชีพนั้นมีอยู่เสมอ แต่นั่นเป็นเรื่องอนาคตที่ยังต้องใช้เวลา และความพยายามอย่างมากพอสมควร ซึ่งเธอก็ขอให้ทุกอย่างเป็นไปตามช่วงจังหวะเวลา เพราะไม่อยากกดดันตัวเองมาก
“การเป็นนักเทนนิสอาชีพไม่ใช่ว่าอยากเป็นก็เป็นได้และจะประสบความสำเร็จได้ง่ายๆ เพราะฉะนั้นหนูอยากจะใช้ช่วงเวลาเยาวชนนี้เก็บเกี่ยวประสบการณ์และพัฒนาฝีมือให้ดีขึ้น แข็งแกร่งขึ้นก่อน จากนั้นก็จะประเมินความสามารถของตัวเองถ้าไปได้หนูก็พร้อมจะลุยเต็มที่”
“สิ่งที่หนูยึดเป็นคติให้ตัวเองคือ การทำวันนี้ให้ดีที่สุด วันนี้ต้องดีกว่าเมื่อวาน พรุ่งนี้ต้องดีกว่าวันนี้ หนูยังมีเวลากับการเล่นเทนนิสอีกเยอะ ถ้าวันนี้เราทำได้ไม่ดีพอเราจะไปคาดหวังกับอนาคตได้อย่างไร เพราะฉะนั้นหนูจะขอทำให้เต็มที่ในทุกๆโอกาสที่ได้ลงแข่งขัน”
และที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น คือ ความสุขในการเล่นเทนนิส การทำให้ทุกแมตช์มีความหมายกับตัวเอง และใช้เวลาในสนามแข่งขันให้คุ้มค่า ไม่ว่าอนาคตข้างหน้าจะก้าวไปสู่ความสำเร็จเป็นนักเทนนิสอาชีพได้หรือไม่ นักเทนนิสลูกครึ่งไทย-อังกฤษวัย 14 ปีเศษผู้นี้ก็พร้อมยืดอกยอมรับความจริงด้วยความภาคภูมิใจ
เพราะอย่างน้อย เทนนิส ก็ทำให้ “ไทร่า ลิธิบี” มีโอกาสได้เป็นส่วนหนึ่งของนักกีฬาทีมชาติไทยในวันนี้แล้ว.